ตอนนี้ตัวดิฉันเองมีอาชีพ กิจการส่วนตัวเล็ก อยู่ ซึ่งหลายๆคนก็มองว่าเป็นอาชีพที่มั่นคงแล้วทำไมยังต้องมาทำธุรกิจเครือข่าย อีก ขอบอกว่ายังนี้นะคะ พี่ชายคนหนึ่งมาแนะนำธุรกิจนี้ ในตอนนั้นเกลียดธุรกิจประเภทนี้มาก เพราะเคยเจอตื้อให้ดูการสาธิตสินค้า หรือหลอกเข้าไปฟังโครงการขายฝันคนนู้นได้ล้าน คนนี้ได้แสน พอมาลองวิเคราะห์สุดท้าย ก็ต้องขายของให้ได้ตามยอดอยู่ดี พอพี่เล่าว่าแผนรายได้เป็นอย่างไร ก็ลองเปิดใจฟังดูเพราะถือว่าสนิทกันและเป็นญาติกัน เมื่อฟังเสร็จ คิดว่าต้องทำแบบนี้ ไม่ต้องออกไปขาย แค่ซื้อสินค้ามาใช้แล้วแนะนำต่อ ว่าสามารถทำควบคู่กับงานประจำเพื่อเป็นรายได้เสริม แค่เดือนละหมื่นก็พอใจแล้วไม่ต้อง เป็นแสน เป็นล้าน แต่สิ่งที่เปิดใจกับธุรกิจประเภทนี้มากขึ้นคือ
เคยอ่านหนังสือเรื่อง พ่อรวยสอนลูก ที่พูดถึงว่าในโลกใบนี้มีงานมากมายก็จริง เป็นรายได้แบ่งเป็น 4 หมวดคือ
1.รายได้จากการเป็นลูกจ้าง
2.รายได้จากการเป็นเจ้าของธุรกิจขนาดเล็ก เช่นร้านเสริมสวย ร้านซ่อมคอมพิวเตอร์ ร้านซ่อมรถ
รายได้จากข้อ 1 และ 2 เป็นรายได้ที่เรียกว่า Active Income หมาย ความว่าต้องทำแล้วจะได้เงิน ถ้าหยุดทำก็จะไม่ได้เงิน ยิ่งทำมากยิ่งได้เงินมาก 2 ข้อนี้เป็นงานที่คน 95% บนโลกทำกันอยู่ แล้วถ้าคุณป่วยล่ะ รายได้ก็ขาดไป
3.เจ้าของธุรกิจขนาดยักษ์ เช่น เบียร์ช้าง คุณลงทุนไปทีหนึ่งแล้วจ้างลูกจ้างมาทำงาน ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหนบนโลกแค่ลูกค้า เปิดเบียร์ 1 ขวด รายได้ก็เข้ากระเป๋าคุณแล้ว หรือพวกนักร้อง แค่แต่งเพลงเดียวก็นั่งรับรายได้จากลิขสิทธิ์เพลงไปจนตาย ถึงรุ่นลูก
4.ใช้เงินลงทุนทำงานแทน เช่นลงทุนในตลาดหุ้น ลงทุนสร้างหอพักแล้วปล่อยเช่ากินเงินไปทุกเดือนๆ
ข้อ 3 และ 4 นั้นเรียก Passive Income คือถึงแม้เราหยุดงานก็มีรายได้เข้ามาอย่างต่อเนื่อง
ที นี้เราจะทำอย่างไรดีกับรายได้ทั้ง 4 ข้อ รายได้ข้อ 1 เราเปรียบเสมือนลูกจ้างทำอยู่แล้วถ้าจะทำเพิ่มคงไม่ได้นอนกันพอดี รายได้ข้อ 2 ธุรกิจส่วนตัวได้สามารถมีรายได้เข้ามา แต่ถ้าวันไหนหยุด รายได้ก็หยุดตามไปด้วย รายได้ข้อ 3 ธุรกิจขนาดยักษ์ลงทุนทีละหลายล้านคงไม่มีเงินมากขนาดนั้น จะเป็นนักร้องก็เสียงไม่ดีอีก รายได้ข้อ 4 ก็ต้องใช้เงินมาทำงานให้เราแต่เราคงมีเงินไม่มากขนาดนั้น
สุดท้ายแล้วคือธุรกิจที่พี่แนะนำ คือ ธุรกิจเครือข่าย ซึ่งจัดอยู่ในข้อ 3 คือลงทุนไม่มากแต่รายได้ติดตามตัวแม้เราจะล้มป่วยลงก็ตามนั่นก็เพราะเครือข่ายสร้างรายได้ให้เรา
เมื่อนึกถึง ธุรกิจเครือข่าย สิ่งแรกที่คิดคือ ไม่อยากทำ ไม่ชอบธุรกิจแบบนี้ เริ่มจิตนาการถึงเพื่อนที่มาขาย เอแวม (แปลเอาเองนะครับเดี๋ยวหาว่าพาดพิง) ให้ไปทำแบบนั้นเสียเกียรติเสียศักดิ์ศรี
แต่เมื่อมาเปิดใจศึกษาอย่าง ถี่ถ้วนธุรกิจเครือข่ายนั้นดีมาก คือเงิน 60% ที่ห้างเซ็นทรัล บิ๊กซี โลตัส ได้ไปนั้น พอบริษัทมีนโยบายกระจายสินค้าผ่านเครือข่าย คนที่จะได้รับ 60% ก็คือตัวเราเอง ซึ่งหลายๆบริษัทก็ทำแบบนี้แต่ต่างกันที่แผนการตลาด แผนการตลาดของบริษัทส่วนใหญ่จะให้รายได้เป็นแบบ ขั้นบันได (Stair step) ซึ่งนำมาข้อเสีย 2 ข้อคือ
1. ต้องขาย รายได้แบบขั้นบันไดมักจะมีเงื่อนไขเช่น 100000 ได้เงิน 10% 200000 ได้เงิน 20% แล้วถ้าเราขายได้ 170000 ล่ะเหลืออีกวันเดียวจะปิดยอดแล้ว ขาดตั้ง 30000 จะได้ 20% อยู่แล้วจะทำยังไงดี เราก็ต้องขาย ต้องตื้อ ต้องกดดัน บังคับ หรือซื้อมาเก็บ Stork ของไว้เอง คนที่โดนกดดันให้ซื้อสินค้าก็เกลียดธุรกิจประเภทนี้ไปโดยถาวร
2. เหนื่อยฟรี พอได้รายได้เป็นขั้นบันได คนมาแรกๆ จะได้ % ส่วนลดน้อย ทำให้เกิดการท้อ เพราะเงิน
และนี่แหละเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้หลายๆคนแอนตี้ธุรกิจเครือข่าย แต่หากมาศึกษาดีๆจะพบว่า เครือข่ายลักษณะแบบขั้นบันไดเรียกว่า เครือข่ายผู้ขาย
แต่มันจะมีเครือข่ายอีกลักษณะ ที่เป็น เครือข่ายผู้บริโภค ที่เราจะ ได้ เปอร์เซ็นต์ 60% เลย เพียงแค่เรามียอดสั่งซื้อส่วนตัวซึ่งแล้วแต่บริษัท บางบริษัทก็เท่ากับ 5000 บาทต่อเดือน(ขายปุ๋ยยี่ห้อหนึ่งซื้อมาก็ไม่ได้ใช้) บริษัทอาหารเสริมยี่ห้อหนึ่งต้องมียอดส่วนตัวแต่ละเดือน 15000 บาท (แพงเวอร์ไป) ดูมาหลายบริษัทแล้ว แต่สำหรับ AIMSTAR 900 บาทต่อเดือนเท่านั้นเอง ก็สามารถได้รับโบนัสครบทุกข้อ ซึ่งคิดเป็น 60% นั้นเอง และด้วยการให้โบนัสครบทุกข้อเลยตั้งแต่แรก จึงไม่นำมาซึ่ง ข้อเสีย 2 ข้อคือต้องขายของ กับ ชวนเพื่อนมาเหนื่อยฟรี นี่ แหละเป็นเหตุผลที่เลือกทำ กับบริษัท aimstar และสิ่งที่เป็นเครื่องยืนยันว่าการสร้างธุรกิจเครือข่ายผ่าน partner ที่ชื่อบริษัท aimstar เป็นการตัดสินใจที่ไม่ผิด เลือกบริษัทได้ถูกต้องแน่นอน เพราะการเติบโตเป็นเครื่องยืนยันถึงสินค้าที่มีคุณภาพดีเยี่ยม และการสร้างธุรกิจที่เป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ของเจ้าของบริษัทผ่านคอร์ส The winner ทำให้ยอดธุรกิจของ aimstar ปี 2552 เติบโตขึ้นมาเป็น top 5 ในประเทศไทย ทั้งๆที่บริษัท aimstar พึ่งเปิดมาแค่ 4 ปี ในขณะที่ 4 บริษัทที่ติด top 5 เปิดมาเกิน 10 ปีขึ้น ทั้งสิ้น และในวันนี้ปี 2553 aimstar จะขึ้นมาเป็นที่ 1 ของประเทศไทย ด้วยยอดที่ตั้งเป้าหมายไว้ 15,000 ล้านบาท หาก aimstar ไม่ใช่บริษัทที่เจ๋งจริงๆ เหตุการณ์ประวัติศาสตร์นี้ไม่มีทางเกิดขึ้นได้แน่นอน
ไม่เท่านั้นบริษัทยังมั่นคงสุดๆ เพราะใช้เงินสดในการขยายตลาดทั้งหมด และ aimstar เป็น one code one world จะไปทั่วโลก ซึ่งแผนงานช่วงแรกจะไปยังประเทศมหาอำนาจ ไม่ว่าจะเป็น อเมริกา จีน อินเดีย รัสเซีย ส่วนญี่ปุ่นไปเปิดแล้ว ซึ่งแค่ 2 ประเทศคือ ญี่ปุ่น กับอเมริกา ก็มียอดธุรกิจประมาณ 60% ของเครือข่ายโลกแล้ว และที่สำคัญที่สุด เราเป็น head quarter ที่จะเป็น upline ของคนทั่วโลก ด้วยสินค้าที่ดีสุดๆ และแผนการตลาดที่ให้มากที่สุด
สุดท้ายนี้
ในมุมมองถ้าใครมองไม่เห็นช่องทางการเงินในด้านนี้ก็คือ อากาศ แต่ใครที่มองเห็นก็เรียกว่า โอกาส
เพราะ แผนของ Aimstar นั้นเป็นแผน 2 สายงานที่เราต้องช่วยเหลือกันคือถ้าเพื่อนเราสำเร็จเราถึงจะสำเร็จไปด้วย นั่นเองเหตุเพราะเงินปันผลส่วนใหญ่มาจากเครือข่ายเรา ไม่ใช่ยอดส่วนตัวที่เราต้องซื้อ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น